เอาใจคนชอบของใหม่กับ 9 ร้านสุดคูล..ใจกลางเมือง

นำเทรนด์ก่อนใครกับ 9 ร้านเปิดใหม่ที่น่าจับตามองจาก iPick แอปพลิเคชั่นคัดสรรร้านอาหารสุดคูล

1. ห้องทานข้าวสุพรรณิการ์ - ซอยสาทร 10
ตลอดซอยสาทร 10 และ 12 กำลังกลายเป็นอีกหนึ่งพื้นที่สำหรับกินดื่ม ทำการต้อนรับร้านอาหารไทยอย่าง ห้องอาหารสุพรรณิการ์ ที่ได้เปิดสาขาแรกย่านทองหล่อเมื่อสามปีก่อนและประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ซึ่งสาขานี้ยังคงการนำเสนออาหารไทยแท้และอาหารท้องถิ่นต่าง ๆ คุณธัชชัย นาคพันธ์ หนึ่งในหุ้นส่วนของร้านสุพรรณิการ์ได้กล่าวว่า “ผมคิดว่ามันดีมาก ๆ กับการที่ปัจจุบันความห่างระหว่างคนสองยุคนั้นน้อยลงเพราะคนรุ่นเก่าก็โหยหาจานที่เคยทานตอนเด็ก ๆ ส่วนคนรุ่นใหม่ก็สนใจและอยากจะลองทานอาหารไทยที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน”

ที่สาขานี้มีความทันสมัยมากขึ้นและมีการตกแต่งที่ทำให้รู้สึกครึกครื้นแบบมีสไตล์ เป็นการออกแบบทั้งหมดของบริษัท Onion Studio ด้วยรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แสดงความเป็นอีสานและบ่งบอกถึงสิ่งที่คุณยายชอบ เช่น กระบมที่ใช้ตากข้าวเหนียวก็กลายาเป็นโต๊ะยืน ลายดอกสุพรรณิการ์ที่ถูกสร้างขึ้นจากหลอดด้าย และยังมีตามจุดต่าง ๆ หรือลายบนโต๊ะและการใช้คานไม้ ที่ทำให้บรรยากาศของร้านแห่งนี้ยิ่งเท่และฮิปกว่าสาขาแรกที่ทองหล่อ โดยชั้นสองเป็นพื้นที่เปิดแสดงงานศิลปะและชั้นสามจะมีความกว้างและเป็นส่วนตัวมากกว่าชั้นอื่น ๆ

อาหารยังคงเหมือนกับที่สาขาทองหล่อ รักษาความอร่อยแบบโฮมเมดจากจังหวัดตราดและขอนแก่น โดยมีจานแนะนำอย่าง ยำเนื้อลาย (160 บาท) กะหล่ำทอดน้ำปลา (160 บาท) ปลาทูทอดน้ำปลา (160 บาท) และปิดท้ายมื้อด้วย บัวลอยไข่เค็ม (85 บาท) ก่อนที่จะสังสรรค์ต่อที่บาร์อื่น ๆ ในซอยสาทร 10 และ 12

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: http://www.ipick.com/bangkok/th/restaurant/30009122

2. Organika

ใครที่รักการทำสปาน่าจะแวะไปเช็คอินที่ Organika กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะน่าจะเป็นข่าวดีของสาว ๆ ที่มักจะท้องว่างกันเป็นธรรมดาหลังสปากันเป็นชั่วโมง ล่าสุด คุณศรีริต้า เจนเซ่น จึงได้เปิดร้านคาเฟ่ร้านสวยที่รวมบริการสปาไว้ในที่เดียวนี้ โดยตั้งอยู่บนชั้น 6 ชั้นบนสุดของโครงการพิมาน 49 แถมยังยกเอาบรรยากาศของกลาสเฮ้าส์ท่ามกลางความร่มรื่นของสวนสวยให้แวะมาผ่อนคลายและอิ่มอร่อยด้วยอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ

Organika ซ่อนตัวอยู่บนชั้น 6 ที่จะต้องขึ้นลิฟต์ข้างร้าน D’ARK ซึ่งเมื่อเปิดประตูลิฟต์แล้ว ก็จะพบกับห้องผนังไม้สีเข้มสไตล์คลาสสิกพร้อมกับกลิ่นหอมชวนให้สบายใจ ก่อนจะเดินเข้าสู่ตัวร้านสีขาวที่แทรกด้วยดอกไม้และต้นไม้นานาพันธุ์ บรรยากาศภายในร้านรับรองว่าจะต้องถูกใจสาว ๆ ด้วยความรู้สึกโปร่งสบายตามแบบฉบับกลาสเฮ้าส์ ประกอบกับการดีไซน์มาอย่างดี ที่เหมาะกับการถ่ายรูปที่ออกมาสวยทุกตารางนิ้ว สำหรับพื้นที่ของคาเฟ่ ได้แบ่งออกเป็นสองโซนหลักคือชั้นล่าง ที่มีครัวเปิดขนาดกระทัดรัดตั้งอยู่กลางร้านคอยปรุงอาหารสุกสดใหม่แบบจานต่อจานเท่านั้น ส่วนเฟอร์นิเจอร์มีทั้งแบบโซฟาเบาะนุ่มที่นั่งได้สบาย และแบบรูปทรงแปลกตาอย่างเก้าอี้ที่ประดับด้วยเรซิ่นเพิ่มความหรูหรา ส่วนชั้นลอยจะสงวนไว้เป็นพื้นที่สำหรับลูกค้า VIP หรือสำหรับการจัดเลี้ยงปาร์ตี้เล็ก ๆ สำหรับการจิบชาในยามบ่าย

อาหารของที่นี่ ได้เชฟ Charlie Kader เชฟเจ้าของร้าน Knock Kitchen & Kicks และร้าน Surface มาช่วยในการออกแบบและคิดเมนูอาหารให้ โดยตอกย้ำคอนเซ็ปต์ World of Sense ด้วยการใช้วัตถุดิบคุณภาพทั้งหมดเป็นแบบออร์แกนิกทั้งผักผลไม้ไปจนถึงเนื้อสัตว์ ไข่ และเมล็ดกาแฟ และเพิ่มวัตถุดิบที่มีกลิ่นหอมลงไปในแต่ละจาน เราแนะนำให้ลองจานเบา ๆ อย่าง Tropical Sunrise (280 บาท) ที่เป็นโยเกิร์ต เสาวรส เมล็ดเจีย บลูเบอร์รี่ วอลนัท มูสลี่ และน้ำผึ้งให้เพิ่มความหวานได้ตามชอบ หรือสั่ง Bruschetta with Tomato & Basil (310 บาท) ที่มาพร้อมกับท็อปปิ้ง 3 แบบคือมะเขือเทศ อโวคาโดและพีชที่รองด้วยน้ำส้มรสเปรี้ยว แล้วราดน้ำผึ้งและบัลซามิก เหมาะสั่งมาแบ่งกันทานกันได้หลายคน หรือจานหนักขึ้นมาหน่อย เป็น Chicken Garden Salad (400 บาท) สลัดผักที่มีไข่ออนเซ็น อกไก่หมักแบบปรุงสุกแบบ Slow-cooked บีทรูทเจลลี่ อโวคาโดและผงเครื่องเทศแบบอินเดียเพิ่มความหอม
ส่วนเมนูเครื่องดื่ม แน่นอนว่าต้องมีดริ๊งก์เพื่อสุขภาพอย่างสมูธตี้และน้ำผลไม้คั้นสดใหม่ อาทิ Avocado Honey Smoothies (255 บาท) ที่เป็นน้ำอโวคาโดปั่น พุดดิ้งเมล็ดเจียและเพิ่มความหวานด้วยน้ำผึ้ง Red Detox (180 บาท) ที่มีบีทรูท แครอท เสาวรสและแอปเปิ้ล หรือใครที่มองหาอะไรร้อน ๆ มาจิบ ทางร้านมีชาที่ทางร้านเลือกใช้ใบชาภายในประเทศมาเบลนด์เอง แนะนำเป็น Memoirs of Sunrise (B295) ที่มีส่วนผสมของแอปเปิ้ล กระเจี๊ยบ ตะไคร้ ส้มและพีช ที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: http://www.ipick.com/bangkok/th/restaurant/30008967

3. The Summer House Project

อีกหนึ่งความฮิปที่เกิดขึ้นในย่านฝั่งธน The Jam Factory เปิดบ้านหลังใหญ่เอาใจคนรักอาหารทะเลพร้อมบรรยากาศสุดชิลล์สำหรับทั้งครอบครัว ด้วยทำเลที่ตั้งของร้านใหม่ The Summer House Project ซึ่งอยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ร้านพี่น้องกับ The Never Ending Summer นี้ก็ก่อตั้งโดยคุณดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิกเซเลบริตี้ชื่อดังแห่ง DBALP เช่นกัน

ภายในตกแต่งสไตล์ Rustic Industial ยังมีริ้วรอยเก่า ๆ ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของเเวร์เฮ้าส์ดั้งเดิมให้เห็นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความลงตัว เสริมด้วยต้นเฟิร์นสุดฮิปและเฟอร์นิเจอร์หน้าตาหล่อซิกเนเจอร์ของคุณดวงทธิ์ ด้วยการติดตั้งทั้งหน้าต่างและประตูกระจกบานใหญ่ทำให้เรารู้สึกโปร่งสบาย ไม่อึดอัด มีครัวเปิดขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางร้านให้ได้เพลิดเพลินไปกับกิจกรรมภายในครัว ส่วนโซนเอาท์ดอร์ที่หลายคนชอบแวะมานั่งถ่ายรูปกันริมน้ำ โซนนี้เลือกใช้โซฟาสีฟ้าและขาวให้นั่งเอกเขนกกันหลังเสร็จจากมื้ออาหาร และรับลมกันได้ชิลล์ ๆ แถมยังถ่ายรูปสวยแสงดีเป็นมุมโปรดของใครหลายคนที่แวะเวียนมา



ใครที่ชื่นชอบซีฟู้ดน่าจะถูกใจเมนูอาหารของที่นี่ เพราะทางร้านเน้นเสิร์ฟอาหารสไตล์รัสติกด้วยการใช้วัตถุดิบหลักของแต่ละชนิดในขนาดเต็มชิ้น เหมาะสำหรับแบ่งปันกันทานได้หลายคน ครัวของที่นี่ได้เชฟยีสต์ นกุล กวินรัตน์ จากร้านเพื่อนบ้าน The Never Ending Summer และเหล่าเชฟผู้ช่วยชาวอังกฤษและอเมริกันมาช่วยปรุงและรักษารสชาติแบบดั้งเดิมเอาไว้ ทางฟากของวัตถุดิบ ทางร้านเน้นวัตถุดิบภายในประเทศโดยเฉพาะจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อความสดใหม่ อาทิ Sole Mariniere (B450) ปลาลิ้นหมาอบมาพร้อมกับซอส Mariniere เสิร์ฟในแผ่นฟอยล์ขนาดใหญ่ อีกจานเป็นปลาหางเหลือง (B500) อบให้หนังกรอบนิด ๆ เสิร์ฟกับอัลมอนด์ป่นและ Raspberry Coulis หรือซอสราสพ์เบอร์รี่รสเปรี้ยวที่ช่วยตัดรสชาติให้ทานได้อย่างไม่เลี่ยน หรือสั่ง ปลาหมึกย่างซอสน้ำพริกเผาและมะนาว (400 บาท) มาเพิ่มรสจัดจ้านให้กับมื้อกันได้ ส่วนใครที่มองหาจานเบา ๆ หน่อย ลองสลัดบีทรูทและชีสเฟต้า (350 บาท) มาเพิ่มความสดชื่นกันได้ไม่น้อย



เสร็จจากมื้ออาหาร อย่าลืมเผื่อท้องไว้สำหรับขนมหวาน ซึ่งที่นี่ได้ยกเมนูขนมยอดนิยมจากเชฟพล ตัณฑเสถียร มาเสิร์ฟ อย่าง Cup-C (220 บาท) เป็นเค้กช็อกโกแลตเสิร์ฟกับไอศกรีมวานิลลา และ Tiracotta (200 บาท) ผสมคาแรกเตอร์ของขนมสองชนิด คือความนุ่มเนียนของพันนาคอตต้าและรสเข้มของกาแฟจากทีรามิสุ หรือสั่งจานคลาสสิกอย่าง Banoffee (190 บาท) ที่มาพร้อมกับไอศกรีมรสบานอฟฟี



บาร์ของที่นี่ได้คุณก็อตจิ ธีรดนย์ ดิสระ บาเทนเดอร์มากฝีมือที่ได้แชมป์จากการประกวด Jamie Oliver’s Search for a Cocktail Star 2015 มาประจำ พร้อมเสิร์ฟค็อกเทล ที่โฟกัสที่วัตถุดิบจากผลไม้ที่ให้รสสัมผัสหวานสดชื่น อย่าง Jaffa (300 บาท) ที่ได้ไอเดียมาจาก “จาฟฟ่า” ขนมบิสกิตแยมส้มเคลือบช็อกโกแลต แก้วนี้จึงมีเบสเป็นวิสกี้ ช็อกโกแลตลิเคียวและซอสส้มให้รสหวานหอมนำ Mr. World Wide (350 บาท) ที่มีวอดก้า มะนาว บิทเทอร์และน้ำเกรปฟรุ๊ต หรือลอง Gold Gold Gold (350 บาท) มีส่วนผสมเป็นน้ำมะม่วงและ Prosecco ส่วนคอคราฟท์เบียร์ ที่นี่มี Kagua Blanc Blanc (350 บาท) Kagua Rouge (350 บาท) Hoegaarden (260 บาท) และ BrewDog Punk IPA (290 บาท) เหมาะจะสั่งมานั่งจิบกันสบาย ๆ ที่โซนเอาท์ดอร์

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: http://www.ipick.com/bangkok/th/restaurant/30008958

4. โอชา

เมื่อปีที่แล้ว การมาถึงของร้านอาหารไทยสไตล์โมเดิรน์ชื่อดัง อย่างโอชา จากสหรัฐฯ นั้นเป็นที่กล่าวขานกันทั่วกรุงเทพฯ โดยเฉพาะเหล่านักชิมที่ตื่นเต้นกับอาหารไทยที่ถูกนำเสนอในรูปแบบสวยงาม อลังการ และเมื่อไม่นานมานี้ เชฟปู ปูริดา ธีระพงษ์ Corperate Chef คนใหม่ได้เปิดตัวเซ็ตเมนูใหม่ที่มีชื่อว่า The Floral Set ซึ่งคอร์สแต่ละคอร์สที่ถูกจัดขึ้นอย่างสวยงามอลังการได้ทำการจับคู่กับค็อกเทลหนุมานที่ร่วมมือกับแบรนด์แม่โขง



ถึงแม้ว่าจะเป็นเชฟคนใหม่แต่ยังคงรักษาคอนเซปต์ของร้านที่เน้นอาหารไทยแบบโมเดิร์น “ไม่ว่าอาหารจานนั้น ๆ จะล้ำขนาดไหนหรือใช้เทคนิคแพรวพราวอย่างไร ถ้ารสชาตินั้นไม่ติดอยู่ที่ลิ้นและในความทรงจำของคนทานก็จะไม่มีใครกลับมาทานอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารไทยที่รสชาติมีส่วนสำคัญมากๆ” เชฟปูกล่าว



Floral Set ของเชฟนั้นทั้งหรูหรา งดงามและมีรสชาติที่น่าประทับใจ สิ่งที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจในเซ็ตนี้คือ ดอกไม้กรอบซอสลูกหม่อน เป็นแผ่นข้าวตังที่เต็มไปด้วยกุหลาบ ดาวเรืองและอัญชัญ เสิร์ฟพร้อมซอสลูกหม่อนสองแบบ มีรสเหมือนข้าวตังหน้าตั้งไม่มีผิด เป็นการเริ่มต้นมื้ออาหารที่หวานอมเปรี้ยวแบบสดชื่น ส่วนอีกจานที่ตระการตาเป็น ยำหอยเชลล์น้ำฟักข้าว ที่ตกแต่งด้วยดอกไม้หลากสีสัน มีหอยเชลล์ฮอกไกโดสด ๆ รสหวานในน้ำมันเมล็ดผักชีและน้ำยำฟักข้าวรสเด็ด ส่วนปลาเต๋าเต้ยลวกจิ้มแจ่วดอกขิงแดงและแจ่วมะเขือเทศ ก็จัดจ้าน สวยงามและเพลิดเพลินไปกับการลวกปลาและห่อเมี่ยงบัว โดย The Floral Set นี้ราคา 2,200 บาท (สำหรับ 2-4 ท่าน) มีเฉพาะมื้อเย็น และสามารถเพิ่มอีก 700 บาทเพื่อที่จะจับคู่กับค็อกเทลหนุมาน ทางร้านแนะนำให้จองล่วงหน้าหนึ่งวัน



ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: http://www.ipick.com/bangkok/th/restaurant/30008922

5. Maison Chatenet

แม้ว่าร้านจะตั้งอยู่ในย่านที่ไม่คึกคักแถวพระราม 3 แต่ Maison Chatenet ก็เป็นหนึ่งในร้านที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดทั้งในหมู่คนตามหาเพสทรีฝรั่งเศสอร่อย ๆ ในกรุงเทพฯ นำทีมโดยเชฟชาวลาวที่ไปโตที่ฝรั่งเศส เชฟ Albert Chatenet ผู้ที่มีประสบการณ์การทำงานจากหลายร้านอย่าง Royal Monceau และ Lenotre ซึ่งเชฟต้องการที่จะนำเสนอเพสทรีฝรั่งเศสคุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ภายใต้บรรยากาศแบบสบาย ๆ เป็นกันเอง “เราอยากให้คนได้กินเพสทรีดี ๆ ในราคาที่ไม่สูงจนเกินไป เราอยากให้เด็ก ๆ แถวนี้ก็สามารถทาน Chouquette ได้ในราคาเพียงชิ้นละ 10 บาท” แม่ของเชฟ Albert กล่าวกับเรา



เพสทรีทุกชิ้นทำด้วยแป้งและเนยนำเข้า ซึ่งจะถูกนำมาผสมกับน้ำแร่ น้ำตาลจากอ้อยเพื่อให้ได้รสหวานแบบธรรมชาติและดีต่อสุขภาพ ไฮไลต์ของที่นี่มี ครัวซองต์เนย (40 บาท) และ Galette (200 บาท) ที่ได้รางวัลจาก Chambre Professionnelle des Artisans Boulangers-Ptissiers ในปี 2556 และ 2558 มาที่ฝรั่งเศส หรือใครอยากลองตัวอื่น สามารถถามหา Palmier (35 บาท) Chouquette (10 บาท) และขนมปังฝรั่งเศส (50 บาท) ในช่วงวันหยุด เชฟ Albert จะมีเมนูพิเศษ อาทิ Pithiviers หรือ Paris-Bret ซึ่งเราสามารถติดตามอัพเดทขนมเหล่านี้กันได้ที่เฟซบุคของร้าน



เราขอแนะนำให้โทรไปจองขนมล่วงหน้าก่อนเข้าไปหรือไปให้ถึงที่ร้านก่อน 09:00 น. ถ้าไม่อยากเสียใจพลาดของอร่อย

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: http://www.ipick.com/bangkok/th/restaurant/30008956

ติดตามรายละเอียดร้านอื่น ๆ ได้ที่ http://th.ipick.com/article/133/

ติดตาม Sanook! Travel





ttp://travel.sanook.com/1397649/

Related Post

Previous
Next Post »