About nananews

Manual Description Here: Ea eam labores imperdiet, apeirian democritum ei nam, doming neglegentur ad vis.

Recent Post

ทำรอบ 2 "หมูสามชั้นทอด"...กรอบนอก นุ่มใน อร่อยมากจนควบคุมไม่ได้ (น้ำหนัก555)



















1.หมูสามชั้น 1 กก.

2.หั่นให้เป็นชิ้นยาวสัก 5-6 นิ้ว

3.ใส่เกลือไอโอดีน ลงไป 1 ช้อนชา..

4.ใส่ไข่ไก่..2 ใบ

5.หมักทิ้งไว้ 20-30 นาที ให้เข้าเนื้อจร้า

6.ครบเวลาแล้วใส่แป้งโกกิ 2 ช้อนโต๊ะคลุกให้เข้ากัน (ไม่ต้องละลายน้ำจร้า)





7.เตรียมกะทะจร้า..น้ำมันเยอะหน่อยน่ะจร้ากะพอท่วมหมู ใส่น้ำส้มสายชู ลงไป 2 ช้อนโต๊ะ ขณะน้ำมันยังไม่ร้อนน่ะจร้า

8.พอน้ำมันเริ่มเดือดอย่าตกใจน่ะจร้าค่อยๆใส่หมูลงไปจร้า ไฟอย่าแรงน่ะจร้า..พลิกไปพลิกมา..จนดูใกล้เหลืองเร่งไฟแรงแป้ปเดียวให้เหลืองตักขึ้นพักจร้า..2-4 นาที..ตักมาหั่นใส่จาน..กรอบนิ่ม

สูตรน้ำจิ้ม

ใช้กระเทียมกลีบเล็กซอย+พริกขีหนูสวนซอย..ผสมน้ำตาล+มะนาว+น้ำปลา..แซ่บมากจร้า


ปล.น้ำส้มสายชูใส่ตอนน้ำมันยังไม่เดือดน่ะจร้า ใส่น้ำส้มสายชูช่วยให้หมูกรอบนอกนุ่มในจร้า หมูจะฟูทั้งชิ้น..แล้วยังคงความกรอบนานด้วยจร้า..





http://www.startclip.com/news6077.html
Read More...

สูตรข้าวมันไก่ หม้อหุงข้าว ง่ายๆทำเองได้ แถมไม่คาว น้ำซุปอร่อย รสชาติและคุณภาพสู้ร้านดังสบาย











ขั้นตอนการทำ

ตั้งหม้อต้มน้ำรอเดือดน้ำเดือดใส่ไก่เอาเต็มที่เท่าที่ต้อง









การเลยค่ะ คอยช้อนฟองทิ้ง เติมผักชีพร้อมราก1-2ต้น กระเทียมบุ 5-6กลีบ เกลือแกง เพิ่มความหวานด้วยฟักหรือไช้เท้าถ้ามีนะค่ะ ไม่มีไม่ใช่ปัญหา เนื้อไก่มีความหวานในตัวอยู่แล้วค่ะ รอเดือดปิดเตา เตรียมข้าวสารปริมาณเดี๋ยวกับหุงปกติ ล้างน้ำ1-2ครั้ง ตักน้ำต้มไก่ที่เตรียมไว้ใส่หม้อข้าว กะปริมาณน้ำให้เหมือนกับหุงข้าวสวยปกติ เติมกระเทียมเจียว+ขิงหันแว่นกดหม้อข้าวรอสุกค่ะ..

ไม่ต้องเอาไก่ไปหุงพร้อมข้าวนะค่ะ  เอาเฉพาะน้ำซุปไก่ค่ะ สูตรนี้จะไม่คาวและมั่นใจได้ว่า ข้าวจะไม่ดิบหรือแข็งแน่นอนค่ะ หุงข้าวปกติเหมือนเราหุงข้าวสวยธรรมดาค่ะ  



http://www.share-si.com/2016/10/blog-post_16.html
Read More...

ประโยชน์ของเห็ด 7 ชนิด อาหารเพื่อสุขภาพยอดฮิตช่วงกินเจ









    พาไปรู้จักกับสรรพคุณเด็ด ๆ ของเห็ด 7 ชนิด ที่คนนิยมทานช่วงกินเจ ไม่ใช่แค่อร่อยแต่ยังดีกับสุขภาพสุด ๆ

          สารพัดเห็ดจัดเป็นเมนูจานเด็ดของคนทานมังสวิรัติ รวมทั้งในช่วงเทศกาลกินเจที่นิยมนำเห็ดต่าง ๆ มาประกอบอาหาร เพราะมีโปรตีนสูง ยิ่งถ้านำเห็ดหลาย ๆ ชนิดมาปรุงอาหารเข้าด้วยกัน ก็รับโปรตีนและสารอาหารที่หลากหลายไปเต็ม ๆ พ่วงด้วยสรรพคุณทางยาดี ๆ จากเห็ดแต่ละชนิดอีกต่างหาก วันนี้กระปุกดอทคอมเลยอยากชวนทุกคนไปสัมผัสความมหัศจรรย์ของเห็ด 7 ชนิดที่คนไทยนิยมทาน ว่าเติมประโยชน์ดี ๆ อะไรให้ร่างกายของเราบ้าง 
เห็ดเข็มทอง

เห็ดเข็มทอง

          ชื่อภาษาอังกฤษ : Golden Needle Mushroom, Needle Mushroom, Enokitake และ Enoki Mushroom 
          ชื่อวิทยาศาสตร์ : Flammulina velutipes

สรรพคุณของเห็ดเข็มทอง

          เป็นเห็ดดอกเล็ก ๆ ที่เติบโตในสภาพอากาศหนาวเย็น มีคุณค่าทางอาหารสูงและรสชาติอร่อย ถือเป็นหนึ่งในเห็ดยอดฮิตที่คนไทยชอบทาน เพราะให้ประโยชน์ตั้งขนาดนี้

          - ทานแล้วช่วยลดน้ำหนัก เพราะมีไฟเบอร์สูง แคลอรีต่ำ กินแล้วอิ่มเร็ว อิ่มนาน แถมยังควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้หิวเร็ว
          - ต้านมะเร็ง เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
          - สลายไขมันในระบบทางเดินอาหาร ทำให้ร่างกายดูดซึมอาหารไปใช้ได้ดีขึ้น
          - ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ เพราะมีไฟเบอร์สูง  
          - ช่วยบำรุงสมอง เพราะเป็นพืชที่มีกรดอะมิโนสูง ซึ่งช่วยเสริมสร้างการทำงานของสมองในส่วนของความจำ  
          - กากใยในเห็ดเข็มทองช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ ป้องกันภาวะไขมันในเลือดสูง 
          - ทานประจำจะช่วยรักษาโรคตับ กระเพาะอาหาร และลำไส้อักเสบเรื้อรัง
          - เห็ดเข็มทอง 100 กรัม ให้พลังงาน 37 กิโลแคลอรี ไขมัน 0.29 กรัม ไฟเบอร์ 2.7 กรัม

          อ่านประโยชน์ของเห็ดเข็มทองแบบเต็ม ๆ ต่อได้ที่  "เห็ดเข็มทอง ลดน้ำหนักเน้น ๆ เด่นคุณค่า คนรักเห็ดต้องจัดมาอย่าให้เสีย !"

เห็ดฟาง












เห็ดฟาง

          ชื่อภาษาอังกฤษ : Straw mushroom 
          ชื่อวิทยาศาสตร์ : Volvariella volvacea

สรรพคุณของเห็ดฟาง

          เป็นเห็ดที่ขึ้นได้ดีในธรรมชาติ จึงนำมาปรุงอาหารกันอย่างแพร่หลาย แต่หลายคนไม่รู้ว่า เห็ดฟาง มีสรรพคุณดี ๆ แบบนี้ด้วย

          - มีวิตามินซีสูง ทานแล้วช่วยป้องกันโรคเหงือก เลือดออกตามไรฟัน
          - มีสาร volvatioxin ช่วยป้องกันการเติบโตของไวรัสที่ทำให้ป่วยไข้หวัดใหญ่
          - มีกรดอะมิโนสำคัญอยู่หลายชนิด หากทานประจำจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ลดการติดเชื้อต่าง ๆ
          - ช่วยลดความดันโลหิต
          - ทางแพทย์แผนโบราณจัดให้เห็ดฟางเป็นเภสัชวัตถุที่มีรสหวานเย็น จึงช่วยบำรุงร่างกาย ช่วยย่อยอาหาร บำรุงโลหิต บำรุงกำลัง บำรุงตับ แก้ร้อนใน แก้ช้ำใน
          - เห็ดฟาง 100 กรัม ให้พลังงาน 35 กิโลแคลอรี และมีไขมันเพียง 0.2 กรัม จัดเป็นอาหารไขมันต่ำ แคลอรีน้อย และไม่มีคอเลสเตอรอล

          *ข้อควรระวัง : ไม่ควรรับประทานเห็ดฟางแบบสด ๆ เพราะมีสารที่คอยยับยั้งการดูดซึมอาหาร ดังนั้นควรทำให้สุกมาก ๆ เพื่อให้ร่างกายย่อยง่ายและดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ดีขึ้น

เห็ดออรินจิ

เห็ดออรินจิ

          ชื่อภาษาอังกฤษ :  King Oyster Mushroom
          ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Pleurotus eryngii 

สรรพคุณของเห็ดออรินจิ

          นี่คือสิ่งดี ๆ ที่แอบซ่อนเอาไว้ในเห็ดดอกใหญ่อย่างเห็ดออรินจิ บอกได้เลยว่าใครพลาดต้องเสียดายแน่นอน

          -  สารเบต้ากลูแคนในเห็ดออรินจิมีคุณสมบัติต้านมะเร็ง อีกทั้งยังไปช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ต่อต้านเชื้อไวรัส 
          - เป็นแหล่งพลังงานที่ดี ทำให้นักกีฬานิยมทานเพื่อเสริสร้างและฟื้นฟูกำลังทั้งก่อนและหลังการแข่งขัน
          - ผู้ป่วยโรคโลหิตจางควรทาน เพราะสามารถช่วยเพิ่มระดับฮีโมโกลบินในเลือดได้
          - มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยป้องกันการถูกทำลายของเซลล์อันเนื่องมาจากสารอนุมูลอิสระต่าง ๆ
          - มีไฟเบอร์สูง ช่วยให้ขับถ่ายได้สะดวกขึ้น
          - แคลอรีค่อนข้างต่ำ และมีปริมาณน้ำอยู่ภายในเห็ดมาก ทานแล้วอิ่มท้องนาน เหมาะกับคนที่กำลังไดเอต
          - ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีในเลือดได้ ทำให้หัวใจแข็งแรงมากขึ้น
          - เห็ดออรินจิ 100 กรัม ให้พลังงาน 24 กิโลแคลอรี มีไขมันไลโนเลอิก 170 มิลลิกรัม ไฟเบอร์ 4.3 กรัม





     อ่านประโยชน์ของเห็ดออรินจิแบบเต็ม ๆ ต่อได้ที่ "ประโยชน์สุดว้าวของเห็ดออรินจิ โปรตีนก็สูง กินลดน้ำหนักก็ได้ !"

เห็ดหอม

เห็ดหอม หรือเห็ดชิตาเกะ

          ชื่อภาษาอังกฤษ : Dried Chinese mushroom, Shiitake Mushroom 
          ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Lentinula edodes

สรรพคุณของเห็ดหอม

          คนจีนยกเห็ดหอมเป็นยาอายุวัฒนะ เพราะมีสรรพคุณทางยามากมาย อย่างเช่น..

          - ต้านอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง 
          - บำรุงกระดูกและกล้ามเนื้อให้แข็งแรง เพราะมีสารเออร์โกสเทอรอลอยู่มาก
          - ช่วยให้อวัยวะภายในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น เช่น ปอด หลอดลม เส้นประสาท สมอง
          - มีกรดอะมิโนอิริตาดีนีน (eritadenine) สูง ช่วยให้ไตย่อยคอเลสเตอรอลได้ดีขึ้น
          - มีสารเลนติแนนช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับเซลล์เนื้องอก
          - ป้องกันหลอดเลือดแดงแข็งตัว
          - มีสารหลายชนิดที่ช่วยลดไขมันในเลือด และคอเลสเตอรอลในร่างกาย ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
          - เป็นยาบำรุงกำลัง แก้อาการอ่อนเพลีย ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น รักษาหวัด
          - เห็ดหอม 100 กรัม ให้พลังงาน 33 กิโลแคลอรี ไขมัน 0.5 กรัม มีไฟเบอร์ 2.5 กรัม

          *ข้อควรระวัง : สตรีหลังคลอด ผู้ป่วยหลังฟื้นไข้ และคนที่เพิ่งหายจากการออกหัด ไม่ควรรับประทาน

เห็ดหูหนูดำ

เห็ดหูหนูดำ

          ชื่อภาษาอังกฤษ :   Ear mushroom, Black mushroom 
          ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Auricularia auricula Judae 

สรรพคุณของเห็ดหูหนูดำ

          รสสัมผัสกรุบ ๆ กรอบ ๆ จากดอกเห็ดที่มีลักษณะคล้ายแผ่นวุ้น ทำให้หลายคนชอบทาน และยังพกประโยชน์มาอีกเพียบ

          - มีคุณสมบัติที่เย็นกว่าเห็ดหูหนูขาว จึงช่วยรักษาโรคร้อนใน แก้เจ็บคอ หยุดเลือดออก เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด ประจำเดือนมากผิดปกติ ริดสีดวงทวาร โรคบิด (เนื่องจากเลือดร้อน)
          - นำไปต้มกับน้ำตาลจิบเป็นชาแก้ไอได้
          - เป็นยาบำรุงเลือดและพลัง รักษาโรคโลหิตจาง
          - แก้อาการท้องเสีย โรคริดสีดวงทวาร
          - ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร
          - มีสารอะดีโนซีน ช่วยลดความข้นเหนียวของเลือด จึงลดความเสี่ยงภาวะเส้นเลือดอุดตันหลอดเลือดสมองและหัวใจ

เห็ดหูหนูขาว

เห็ดหูหนูขาว

          ชื่อภาษาอังกฤษ :   Ear mushroom, Jew's Ear Mushroom, White Jelly Fungus 
          ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tremella fuciformis Berk.

สรรพคุณของเห็ดหูหนูขาว

          มีคุณประโยชน์คล้าย ๆ กับ "เห็ดหูหนูดำ" แต่การออกฤทธิ์ของเห็ดหูหนูขาวจะออกฤทธิ์ที่ปอดและกระเพาะอาหาร ส่วนเห็ดหูหนูดำจะออกฤทธิ์ที่ไตและตับ อย่างไรก็ตาม จัดเป็นสุดยอดของเห็ดเช่นเดียวกัน

          - ช่วยบำรุงปอด หยุดอาการไอที่เกิดจากปอดแห้ง ไอมีเสมหะปนเลือด
          - บำบัดอาการอ่อนเพลีย
          - แก้ไอ เสมหะมีเลือดปน อาการร้อนใน
          - ชะลอความเสื่อมของเซลล์ เสริมภูมิคุ้มกัน 
          - ลดอาการหลอดเลือดหัวใจขาด/ตีบ
          - มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ลดอาการแทรกซ้อน ภายหลังการฉายแสงรักษาโรคมะเร็ง
          - มีฤทธิ์สงบประสาท ช่วยให้นอนหลับ 

          *ข้อควรระวัง : ทั้งเห็ดหูหนูขาวและเห็ดหูหนูดำ มีลักษณะทำให้เกิดความชุ่มชื้น ความเย็น ดังนั้นแพทย์แผนจีนจึงแนะนำว่า คนที่ระบบการย่อยอาหาร หรือมีภาวะของร่างกายค่อนไปทางเย็นมาก ๆ ต้องทานอาหารหรือสมุนไพรที่มีคุณสมบัติร้อนประกอบด้วย และไม่ควรกินมากในช่วงกลางคืน ซึ่งเป็นช่วงที่หยางร่างกายอ่อนลง และมีภาวะยินของธรรมชาติมาก

เห็ดนางฟ้า

เห็ดนางฟ้า

          ชื่อภาษาอังกฤษ :  Oyster mushroom
          ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Pleurotus pulmonarius

สรรพคุณของเห็ดนางฟ้า

          เห็ดอีกหนึ่งชนิดที่คนนิยมทาน เพราะรสชาติอร่อย แถมราคาไม่แพง ประกอบอาหารได้หลากหลาย  

          - มีโปรตีนและเส้นใยอาหารสูง เหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก รวมทั้งผู้ป่วยในระยะพักฟื้นหรือหลังผ่าตัด
          - ช่วยลดคอเลสเตอรอล ลดไขมันในเส้นเลือด จึงดีต่อหัวใจ
          - ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
          - ช่วยให้การไหลเวียนโลหิตในร่างกายดีขึ้น
          - มีโพแทสเซียมสูง จึงช่วยควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ รวมทั้งความสมดุลของน้ำในร่างกาย
          - เห็ดนางฟ้า 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 33 กิโลแคลอรี ไขมัน 0.07 กรัม มีไฟเบอร์ 0.47 กรัม

          ประโยชน์ของเห็ดเด็ดดวงขนาดนี้ อย่าเมินไปเสียเปล่า ๆ ใครชอบทานอาหารทำเอง ลองดูเมนูจากเห็ดต่าง ๆ ไปเป็นไอเดียทำทานเองที่บ้านได้เลยจ้า

เมนูเจ

          - 8 สูตรอาหารเจเมนูเห็ด อิ่มบุญเพื่อสุขภาพทำกินได้ทั้งปี
          - เห็ดเข็มทองทอดเจ กับซอสมะขาม 3 รส อาหารเจทอดกรอบยั่วต่อมหิว
          - เต้าหู้กับเห็ดหอมอบวุ้นเส้นเจ เมนูเจหอมอร่อย
          - พล่าเห็ดเข็มทองเจ อาหารเจรสจัดจ้าน ไร้แป้ง แคลอรี่ต่ำ
          - แฮกึ๊นเผือกเห็ดฟางเจ หอม กรอบ อร่อย ไร้เนื้อสัตว์
          - ยำเห็ดรวมเจ เมนูเจรสเด็ด เจไม่เจก็แซ่บได้
          - เทมปุระเห็ดเจ อาหารเจกรุบกรอบได้ประโยชน์จากเห็ด

เมนูทั่วไป

          - 13 เมนูเห็ด อิ่มเบา ๆ กินทุกวันสุขภาพดีทุกวัน
          - เกี๊ยวน้ำไส้เห็ดหอม เมนูมังสวิรัติไร้เนื้อสัตว์น้ำซุปผักหอม ๆ
          - น้ำพริกเห็ดนางฟ้า ไข่ต้มยางมะตูม แคลอรีเบา ๆ เพื่อสุขภาพ
          - ข้าวมันเห็ดออรินจิย่างซีอิ๊วญี่ปุ่น จากเมนูฮิตสู่อาหารมังสวิรัติ
          - ไข่เจียวเห็ดหูหนู เคียงคู่น้ำจิ้มแจ่ว เมนูไข่กรุบกรอบน่าลอง
          - ต้มข่ากุ้งใส่เห็ดเข็มทอง หอมอร่อยรสกลมกล่อม
          - ขนมปังหน้าเห็ดกระเทียม อาหารว่างมากประโยชน์ ทำง่าย ๆ
          - เต้าหู้ยัดไส้เห็ดปรุงรส อาหารมังสวิรัติได้สุขภาพ


http://health.k.com/view157711.html



Read More...

8 ผลไม้ต้านมะเร็งเต้านม ดักให้ครบทุกความเสี่ยง




 ผลไม้ต้านมะเร็งเต้านมกินป้องกันไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะได้สะบัดความเสี่ยงโรคร้ายนี้ไปให้ไกล

          มะเร็งเต้านม เป็นโรคร้ายที่เชื่อว่าไม่มีใครอยากจะให้เกิดขึ้นกับตัวเอง และแม้ว่าความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านมจะเกิดขึ้นจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารเป็นส่วนใหญ่ แต่รู้ไหมว่าเรายังมีอีก 8 ผลไม้ต้านมะเร็งเต้านมอยู่บนโลกใบนี้ด้วย ดังนั้นจะรออะไรล่ะคะ ไปดูเลยว่ามีผลไม้ต้านมะเร็งเต้านมอะไรบ้างที่รอให้เรารับประทานอยู่
ทับทิม

1. ทับทิม

          งานวิจัยทางการแพทย์สหรัฐอเมริกาพบว่า น้ำทับทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างสูง และยังมีไฟโตนิวเทรียนท์ รวมถึงกรดเอลลาจิก ที่มีคุณสมบัติช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในร่างกายมนุษย์ และยับยั้งการขยายตัวของเซลล์ผิดปกติซึ่งอาจจะกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ โดยเฉพาะเซลล์มะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก 
    
          นอกจากนี้สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา ยังบอกเพิ่มเติมด้วยว่า สารเอลลาจิกในทับทิม สามารถป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกของผู้หญิงได้อีกด้วยจ้า

ส้ม







2. ส้มและผลไม้ตระกูลส้ม
    
          ผลการศึกษาของ Texas A&M University เผยว่า นอกจากส้มจะเปี่ยมไปด้วยวิตามินซีแล้ว ในส้มและผลไม้ตระกูลส้มยังมีคุณสมบัติต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกับโรคมะเร็งเต้านม เนื่องจากมีสารแคโรทีนอยด์ค่อนข้างสูงนั่นเอง

มะละกอ

3. มะละกอ

          มะละกอจัดเป็นผลไม้สีส้มที่อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และธาตุเหล็ก มีคุณสมบัติบำรุงสายตาและช่วยต้านมะเร็งได้ ยืนยันจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยฟลอริดาที่พบว่า คุณค่าทางโภชนาการของมะละกอมีฤทธิ์ป้องกันโรคมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถเข้าไปยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก หรือเซลล์ผิดปกติที่มีแนวโน้มจะกลายเป็นเซลล์มะเร็ง และยังยับยั้งได้ทั้งเซลล์มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งตับ และมะเร็งตับอ่อนเลยทีเดียว

แอปเปิล

4. แอปเปิล












  ผลการศึกษาจาก University of California ร่วมกับ Genesis Prevention Center เผยว่า หากกินแอปเปิลได้วันละ 1 ลูก จะช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านมได้ค่อนข้างมาก เนื่องจากแอปเปิลมีสารต้านอนุมูลอิสระค่อนข้างสูง รวมทั้งฟลาโวนอยด์ ไฟเบอร์ และสารอาหารอื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติต้านมะเร็งอีกนับไม่ถ้วน แต่ทั้งนี้ก็ต้องกินแอปเปิลแบบไม่ปอกเปลือกนะคะ เพราะความเด็ดดวงของแอปเปิลที่ว่ามาทั้งหมดก็ซ่อนอยู่ในเปลือกแอปเปิลนี่แหละจ้า

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี

5. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี
    
          ผลไม้ชนิดนี้อุดมไปด้วยสารฟลาโวนอยด์ สารต้านอนุมูลอิสระ และสารที่มีคุณสมบัติต้านเซลล์มะเร็งร้าย โดยผลการวิจัยก็พบว่า ผลไม้ตระกูลเบอร์รี โดยเฉพาะบลูเบอร์รีมีสารพฤกษเคมีจำพวกแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สูง ซึ่งช่วยชะลอการเกิดเซลล์มะเร็ง และลดเซลล์มะเร็งเต้านมในหนูทดลองได้ถึง 60-75% เมื่อเทียบกับหนูทดลองที่ไม่ได้กินบลูเบอร์รีเป็นประจำ 

พลัมและลูกพีช

6. พลัมและลูกพีช
    
          นักวิจัยจาก Texas A&M University พบว่า ลูกพีชและพลัมมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงพอ ๆ กับซูเปอร์ฟู้ดอย่างบลูเบอร์รีเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีโพลีฟีนอลซึ่งช่วยปราบเซลล์มะเร็งเต้านมได้อีกต่างหาก

มันเทศ

7. มันเทศ
    
          มันเทศก็เป็นผลไม้สีส้มอีกหนึ่งชนิด ที่นอกจากจะมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เบต้าแคโรทีน ไฟเบอร์ วิตามินอี วิตามินซี ไรโบฟลาวิน โพลีฟีนอล สารต้านอนุมูลอิสระ และกรดคาเฟอิกแล้ว การศึกษาจาก The International Potato Center ก็เผยมาว่า ในมันเทศหรือมันหวานยังเปี่ยมไปด้วยกรดคาเฟโออิวควินิก (Caffeoylquinic Acid) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านมด้วย 

          แต่ทั้งนี้สาว ๆ ก็อย่าเผลอกินมันเทศแบบจัดหนักเกินไปนะคะ เพราะอย่าลืมว่ามันเทศเป็นพืชหัวที่มีคาร์โบไฮเดรตอยู่เยอะ ดังนั้นหากไม่อยากอ้วนก็พยายามอย่ากินเป็นของว่างมื้อดึกก็แล้วกัน

มังคุด

8. มังคุด
    
          ศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่า สารสกัดจากมังคุดช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด TH1 และ TH 17 ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยกำจัดและป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งเกือบทุกชนิดได้ ไม่เว้นแม้แต่มะเร็งเต้านม 
    
          อีกทั้งเซลล์เม็ดเลือดขาว TH1 ยังเป็นสารกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรง สามารถช่วยป้องกันโรคได้ดีขึ้น โดยเฉพาะการปกป้องเซลล์ในร่างกายไม่ให้กลายเป็นเซลล์มะเร็งร้าย

          อย่างไรก็ตาม ผลไม้ต้านมะเร็งเต้านมทั้ง 8 ชนิดนี้เป็นเพียงตัวช่วยป้องกันโรคร้ายได้อีกทางเลือกหนึ่งเท่านั้น แต่สิ่งที่จะการันตีได้ว่าเราจะไม่ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมก็คือการดูแลสุขภาพของตัวเราเองให้ดีในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินของเราเองนะคะ พยายามหลีกเลี่ยงอาหารประเภททอด ย่างเกรียม อาหารที่มีไขมันสูง และอาหารแปรรูปต่าง ๆ ที่อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดเซลล์มะเร็งในร่างกายเราได้ นอกจากนี้ถ้าหมั่นออกกำลังกายกันเป็นประจำได้ก็จะยิ่งดีเลย








http://health.kapook.com/view154112.html


Read More...

ถั่วเขียว ธัญพืชตัวน้อย สรรพคุณบิ๊กเบิ้ม ของดีที่อยากให้ลอง





   ประโยชน์ของถั่วเขียว ที่อัดแน่นเต็มเมล็ด อาหารเพื่อสุขภาพใกล้ตัวที่หาง่าย จะเป็นของคาวก็ได้ ของหวานก็ดี ธัญพืชชนิดนี้บอกเลยท้าให้ลอง !

          ถ้าจะพูดถึงถั่วที่คนนิยมรับประทานกัน ก็คงจะมองข้ามถั่วเขียวไปไม่ได้ เพราะถั่วเขียวอยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน ตั้งแต่สมัยโบราณ ถั่วเขียวถูกนำมาทำเป็นของหวานหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นถั่วเขียวต้มน้ำตาล ถั่วกวน ลูกชุบ หรือนำมาทำเป็นไส้ขนมต่าง ๆ อีกหลายชนิด แต่เคยทราบกันหรือไม่ว่าถั่วเขียวนั้นมีประโยชน์กับสุขภาพอย่างไร ถ้าอย่างนั้นเราลองมาทำความรู้จักกับเจ้าถั่วชนิดนี้ให้มากขึ้น มาดูกันสิว่าพืชตระกูลถั่วชนิดนี้ที่มีขนาดเล็กจิ๋วจะมีคุณประโยชน์ใดที่น่าสนใจแอบซ่อนอยู่บ้างนะ

ถั่วเขียว

          ถั่วเขียว (Green Bean หรือ Mung Bean) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Phaseolus aureus L. เป็นพืชในตระกูลถั่ว เช่นเดียวกับถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วแขก และถั่วพู มีถิ่นกำเนิดในประเทศแถบอินเดีย พม่า อินโดนีเซีย และไทย มีลักษณะเป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก อายุประมาณ 1 ปี ลำต้นตั้งตรง สูงประมาณ 40 เซนติเมตร มีขนตามลำต้น กิ่ง ก้าน และใบ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มี 3 ใบย่อย ลักษณะใบเป็นใบตั้ง รูปใข่ บ้างก็คล้ายรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ช่อดอกเป็นแบบช่อกระจะ ลักษณะดอกเหมือนดอกถั่วทั่วไป เป็นสีเหลือง ส่วนเมล็ดมีสีเขียวรูปกึ่งกลม โดยส่วนใหญ่แล้วถั่วเขียวมักถูกนิยมนำมาทำเป็นแป้ง วุ้นเส้น หรือนำไปนึ่งให้สุกแล้วกวนเป็นขนม นอกจากนี้ก็ยังนิยมนำไปเพาะเป็นต้นอ่อน หรือที่เรียกว่าถั่วงอก เพื่อนำมาปรุงเป็นอาหารอีกด้วย โดยถั่วงอกจะมีปริมาณวิตามินซีที่มากกว่าถั่วเขียวที่เป็นเมล็ด 
   
ทั้งนี้ถั่วเขียวต้มสุก 100 กรัม มีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้


















  - น้ำ 93.39 กรัม 
          - พลังงาน 21 กิโลแคลอรี
          - โปรตีน 2.03 กรัม
          - คาร์โบไฮเดรต 4.19 กรัม
          - ไฟเบอร์ 0.8 กรัม
          - น้ำตาล 2.84 กรัม
          - แคลเซียม 12 มิลลิกรัม
          - ธาตุเหล็ก 0.65 มิลลิกรัม
          - แมกนีเซียม 14 มิลลิกรัม
          - ฟอสฟอรัส 28 มิลลิกรัม
          - โพแทสเซียม 101 มิลลิกรัม
          - โซเดียม 10 มิลลิกรัม
          - สังกะสี 0.47 มิลลิกรัม
          - ไธอะมีน 0.05 มิลลิกรัม
          - ไรโบฟลาวิน 0.1 มิลลิกรัม
          - ไนอะซิน 0.8 มิลลิกรัม
          - โฟเลต 29 ไมโครกรัม
          - วิตามินซี 11.4 มิลลิกรัม
          - วิตามินบี 6 0.05 มิลลิกรัม
          - วิตามินอี 0.07 มิลลิกรัม
          - วิตามินเค 22.7 ไมโครกรัม

ประโยชน์ของถั่วเขียว สรรพคุณสุดบิ๊กเบิ้ม ในธัญพืชตัวจิ๋ว

ถั่วเขียว

1. ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด และป้องกันโรคหัวใจ

          จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร Journal of Human and Experimental Toxicology เมื่อปี 2011 พบว่า การรับประทานถั่วเขียวสามารถลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี (LDL Cholerterol) และช่วยยับยั้งภาวะออกซิเดชั่นของไขมันที่จะไปทำลายหลอดเลือดได้ และเมื่อระดับคอเลสเตอรอล LDL ลดลง ความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจก็ลดลงด้วย เนื่องจากคอเลสเตอรอลชนิด LDL หากเข้าสู่ร่างกายแล้วจะเข้าไปเกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือด ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดีพอ ทำให้หัวใจต้องทำงานอย่างหนักเพื่อสูบฉีดเลือด และก่อให้เกิดโรคหัวใจในที่สุดค่ะ

2. ป้องกันท้องผูก

          ถั่วเขียวเป็นธัญพืชที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่ายได้ เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องระบบขับถ่าย เช่น ท้องผูก หรือท้องอืด อีกทั้งยังช่วยป้องกันการเกิดภาวะลำไส้แปรปรวนได้อีกด้วย โดยในประเทศอินเดียได้นำถั่วเขียวมาปรุงกับขมิ้น ผักชี ยี่หร่า และขิง เพื่อเป็นยารักษาอาการปวดท้องเนื่องจากท้องผูกด้วยนะคะ

3. ป้องกันภาวะการติดเชื้อ

          ด้วยปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในถั่วเขียวที่มีมากไม่แพ้ซูเปอร์ฟู้ดชนิดอื่น จึงทำให้ถั่วเขียวมีฤทธิ์ในการป้องกันการติดเชื้อ และการอักเสบภายในร่างกายได้ ส่งผลให้ความเสี่ยงอาการเจ็บป่วย และโรคภัยต่าง ๆ ลดลง

4. เป็นอาหารล้างพิษ

          อีกหนึ่งคุณประโยชน์ที่มาจากไฟเบอร์ในถั่วเขียวก็คือการล้างพิษให้ลำไส้ เพราะเมื่อเรารับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์เข้าไปมาก ๆ ไฟเบอร์เหล่านั้นจะไปช่วยจัดสารพิษต่าง ๆ ในร่างกาย และทำให้ร่างกายขับถ่ายสารพิษออกมา เมื่อลำไส้สะอาดขึ้นก็จะทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดีมากขึ้น สุขภาพก็แข็งแรงขึ้น

ถั่วเขียว

5. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

          สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ที่ต้องพิถีพิถันกับการเลือกอาหารมากกว่าคนทั่วไป ถั่วเขียวถือเป็นตัวเลือกที่ดีเลยล่ะค่ะ เพราะถั่วเขียวเป็นอาหารที่มีระดับน้ำตาลที่ต่ำ เมื่อรับประทานแล้วปริมาณน้ำตาลในถั่วเขียวก็จะไม่ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งดีต่อการควบคุมระดับน้ำตาลของผู้ป่วย นอกจากนี้ถั่วเขียวยังช่วยป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ โดยมีการศึกษาที่ทำการทดลองกับหนูพบว่า เมื่อให้หนูกินสารสกัดจากถั่วเขียวเข้าไป ระดับน้ำตาลในเลือดของหนูลดลง อีกทั้งระดับการตอบสนองของอินซูลินต่อน้ำตาลในเลือดก็ยังเพิ่มขึ้นอีกด้วย แต่ทั้งนี้ก็ควรหลีกเลี่ยงเมนูถั่วเขียวที่มีน้ำตาลสูง เช่น ถั่วเขียวต้มน้ำตาล หรือขนมหวานที่ทำจากถั่วเขียวจะดีที่สุดค่ะ

6. อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ











    อนุมูลอิสระเป็นสาเหตุสำคัญของโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ รวมทั้งริ้วรอยและการเสื่อมสภาพของร่างกายก่อนวัย โดยวิธีป้องกันที่ดีที่สุดก็คือการรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งถั่วเขียวก็เป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่มีสารต้านอนุมูลอิสระมากมายไม่แพ้ซูเปอร์ฟู้ดชนิดอื่น ๆ รู้แบบนี้แล้ว อยากสุขภาพดี ไม่ดูแก่ก่อนวัย ก็ต้องรับประทานถั่วเขียวกันนะคะ

7. บำรุงครรภ์ให้แข็งแรง

          โฟเลต เป็นสารอาหารสำคัญที่พบได้ในถั่วเขียว ซึ่งมีความจำเป็นต่อการสังเคราะห์ DNA และการเจริญเติบโตของเซลล์และเนื้อเยื่อในร่างกาย อีกทั้งยังช่วยควบคุมการทำงานของสมอง สมดุลของฮอร์โมน และระบบสืบพันธุ์ โดยเฉพาะคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ การรับประทานโฟเลตอย่างเพียงพอจะช่วยป้องกันภาวะพิการในทารก และการคลอดก่อนกำหนด รวมทั้งป้องกันการแท้งบุตรได้อีกด้วย

8. ป้องกันภาวะโลหิตจาง 

          ธาตุเหล็กเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญกับระบบโลหิต หากร่างกายได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอก็จะส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจางได้ โดยเฉพาะผู้หญิงที่มักจะเกิดภาวะขาดธาตุเหล็กในช่วงมีประจำเดือน และช่วงตั้งครรภ์ ซึ่งถั่วเขียวก็เป็นอาหารที่มีธาตุเหล็กอยู่ไม่น้อย เหมาะสำหรับรับประทานเพื่อเพิ่มธาตุเหล็กให้กับร่างกาย โดยไม่ต้องพึ่งพาอาหารเสริมที่มีราคาแพงค่ะ









ถั่วเขียว

9. ป้องกันโรคมะเร็ง

          จากการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยเกษตรกรรมแห่งชาติจีนพบว่า ถั่วเขียวมีระดับโพลีฟีนอล และโอลิโกแซ็กคาไรด์ (oligosaccharide) สูง ซึ่งสารทั้ง 2 ชนิดนี้มีคุณสมบัติในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และป้องกันไม่ให้เกิดเนื้อร้าย ขณะที่สารต้านอนุมูลอิสระในถั่วเขียวก็ยังช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ถูกทำลายและกลายเป็นเซลล์มะเร็งอีกด้วย

10. บำรุงผิวพรรณ และเส้นผม

          สาว ๆ คนไหนที่อยากจะมีผิวพรรณเปล่งปลั่งและสุขภาพผมดี ถั่วเขียวช่วยคุณได้ค่ะ เพราะถั่วเขียวอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินมากมาย ซึ่งช่วยบำรุงสุขภาพผิวให้ดูเปล่งปลั่ง อีกทั้งยังช่วยให้หนังศีรษะแข็งแรง ผมไม่หลุดร่วงง่ายอีกด้วย ถ้าสนใจอยากลองบำรุงผมและผิวหน้าด้วยถั่วเขียวละก็ ลองหยิบสูตรเหล่านี้ไปใช้ดูค่ะ

สูตรพอกหน้าด้วยถั่วเขียว

ส่วนผสม

          - เมล็ดถั่วเขียว
          - น้ำอุ่น

วิธีใช้

          1. นำถั่วเขียวมาบดเป็นผงละเอียด
          2. เติมน้ำอุ่นผสมกับผงถั่วเขียว คนให้เข้ากันจนกลายเป็นเนื้อครีม
          3. นำมาพอกบนใบหน้าทิ้งไว้จนแห้งประมาณ 10 นาที
          4. นวดบริเวณที่พอกหน้าไว้ให้ทั่วเพื่อเป็นการสครับ แล้วล้างออกให้สะอาด

สูตรหมักผมด้วยถั่วเขียว

ส่วนผสม

- เมล็ดถั่วเขียว
- น้ำชาเขียวแบบไม่ผสมน้ำตาล
- น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันอัลมอนด์
- โยเกิร์ต

วิธีใช้

          1. นำเมล็ดถั่วเขียวมาบดเป็นผงให้ละเอียด
          2. เติมน้ำชาเขียวลงในถั่วเขียวเล็กน้อย คนให้เข้ากันจนกลายเป็นเนื้อครีมข้นเหนียว
          3. เติมน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันอัลมอนด์ ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน
          4. เติมโยเกิร์ตลงไป 2/3 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันแล้วนำมาหมักผมทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออก


ถั่วเขียว

11. ย่อยง่าย

          สำหรับผู้ป่วยที่เพิ่งฟื้นตัวจากอาการปวดท้อง หรือท้องเสีย ถั่วเขียวถือเป็นอาหารที่ดีสำหรับผู้ป่วยเป็นอย่างยิ่งค่ะ เพราะย่อยง่าย และอุดมด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อีกทั้งเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วก็จะทำให้รู้สึกอิ่มแบบไม่หนักท้องจนเกินไปค่ะ

12. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

          สารไฟโตนิวเตรียนท์ (Phytonutrient) ที่อุดมอยู่ในถั่วเขียวมีคุณสมบัติในการต่อต้านการอักเสบ และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดได้ จึงช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้การรับประทานถั่วเขียวยังช่วยกระตุ้นการดูดซึมสารอาหารที่มีส่วนในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย

13. ลดอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS)

          สาว ๆ ที่มีอาการก่อนมีประจำเดือนเป็นประจำทุกเดือนต้องรักถั่วเขียวมากขึ้นแน่นอน เพราะถั่วเขียวมีวิตามินบี 6 วิตามินบี และโฟเลต ที่ช่วยควบคุมไม่ให้ระดับฮอร์โมนแปรปรวน อันเป็นสาเหตุของอาการก่อนมีประจำเดือน นอกจากนี้ก็ยังช่วยบรรเทาอาการที่เกิดในช่วงมีประจำเดือน อย่างอาการปวดท้อง อารมณ์แปรปรวน ปวดหัว ปวดตามกล้ามเนื้อ และอาการอ่อนเพลียได้อีกด้วย

14. ช่วยลดน้ำหนัก

          ถั่วเขียวถือเป็นอาหารที่ช่วยลดน้ำหนักได้ดีไม่แพ้ธัญพืชชนิดอื่น ๆ เพราะถั่วเขียวมีไฟเบอร์และโปรตีนสูง ช่วยให้อิ่มท้อง และอิ่มนานขึ้น จึงเหมาะสำหรับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก แต่ก็ต้องระมัดระวังเรื่องปริมาณน้ำตาลในเมนูถั่วเขียวด้วยนะ

15. บำรุงกระดูก

          อย่าเพิ่งคิดว่าจะมีแค่ถั่วเหลืองเท่านั้นที่มีแคลเซียมสูง เพราะถั่วเขียวเป็นธัญพืชที่อุดมไปด้วยแคลเซียมและวิตามินเคเช่นกัน ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญในการบำรุงกระดูกให้แข็งแรง ดังนั้นการรับประทานถั่วเขียวก็เหมือนกับการบำรุงกระดูกให้แข็งแรงไปในตัว ถ้าใครไม่ชอบดื่มนมถั่วเหลือง หรือรับประทานเต้าหู้ ลองหันมากินถั่วเขียวก็ได้นะคะ

          นอกจากประโยชน์ข้างต้น ในฐานะพืชสมุนไพร ถั่วเขียวยังมีสรรพคุณทางยาอีกมากมาย ไม่ว่าจะช่วยบำรุงร่างกาย แก้ร้อนใน ช่วยขับปัสสาวะ แก้เหน็บชา หากนำไปต้มกับเกลือแล้วนำมาอมก็สามารถรักษาอาการเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วยล่ะค่ะ

ถั่วเขียว

เมนูถั่วเขียว ของอร่อยทำง่ายได้ประโยชน์เพียบ 

          ถั่วเขียว เป็นธัญพืชที่นิยมนำมาทำเป็นอาหารทั้งคาวและหวาน แถมยังสามารถนำมาทำเป็นเครื่องดื่มได้อีกด้วย ใครที่กำลังสนใจอยากลองลิ้มชิมรสถั่วเขียวละก็ ลองมาดูเมนูเหล่านี้กันเลยค่ะ

          - ถั่วเขียวต้มน้ำตาล สูตรขนมหวานโปรตีนสูงจากธัญพืชต้นทุนต่ำ
          - ขับพิษ แก้ร้อนในด้วยน้ำถั่วเขียว
          - ถั่วเขียวต้มน้ำเก๊กหล่อ ขนมหวานโปรตีนเลอค่า รสเข้มจากพลังสมุนไพร
          - บัวลอยถั่วเขียว ขนมไทยหน้าฝนของคนรักสุขภาพ
          - ขนมถั่วกวน ขนมไทยสุดง่ายกับวัตถุดิบแค่ 3 อย่าง
          - เต้าส่วน ขนมไทยทำง่าย อุปกรณ์น้อย อร่อยเหนียว ๆ
          - ซุปถั่วเขียว โปรตีนจากถั่วสำหรับกรุ๊ปเลือด A
          - ลูกชุบหลากสี ขนมไทยสีสวยชวนรับประทาน

ข้อควรระวังในการรับประทานถั่วเขียว

          แม้ถั่วเขียวจะอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร แต่สำหรับคนที่มีอาการแพ้ถั่วนั้นควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง เพราะถั่วเขียวเป็นพืชในตระกูลถั่วเช่นเดียวกับถั่วเหลือง และถั่วลิสง หากใครที่มีอาการแพ้ถั่วทั้ง 2 ชนิดนี้ ควรหลีกเลี่ยงถั่วเขียวด้วยเพื่อความปลอดภัยค่ะ นอกจากนี้หากในบ้านมีเด็กเล็ก ก็ควรเก็บถั่วเขียวไว้ให้ห่างจากมือเด็ก เพราะขนาดที่เล็กของเมล็ดถั่วเขียว หากเด็กนำใส่ปากอาจติดคอและหลอดลมจนเป็นอันตรายได้ค่ะ

          ได้เห็นคุณประโยชน์อันน่าอัศจรรย์ของเจ้าถั่วเขียวกันแล้ว ก็อย่าพลาดที่จะให้ถั่วชนิดนี้เป็นหนึ่งในตัวเลือกเพื่อสุขภาพนะคะ แต่ก็อย่ามุ่งแต่หาอาหารที่มีประโยชน์กินเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าอยากจะสุขภาพดีแบบจัดเต็มก็ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอด้วย ถึงจะครบสูต



http://health..com/view153905.html

Read More...

10 ข้อสงสัย กินชาดีไหม อันตรายกับร่างกายหรือเปล่า




  กินชาเขียว ชาเย็น ทุกวันอันตรายไหม มาตอบทุกข้อสงสัยเรื่องประโยชน์และโทษของการดื่มชาให้เคลียร์กันไปเลย

          คนที่ดื่มชาเขียวนมทุกวัน หรือดื่มชาเย็นทุกวันคงใจคอไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร เพราะมีหลายกระแสออกมาเตือนถึงโทษของการดื่มชามากเกินไปอยู่ไม่น้อย งั้นเพื่อความสบายใจของคนชอบดื่มชา วันนี้เราจะมาตอบทุกปัญหาให้รู้ชัดกันไปเลยค่ะว่า ดื่มชาเขียวนมทุกวันเป็นอันตรายกับสุขภาพไหม หรือดื่มชามากไปจะมีโทษอย่างไรบ้าง

กินชาดีไหม
ภาพจาก unsplash





1. กินชาดีไหม มาดูประโยชน์ของการดื่มชากัน

          ประโยชน์ของชาต่อสุขภาพมีอยู่หลายข้อด้วยกัน เนื่องด้วยในน้ำชามีทั้งวิตามิน B, C, E กรดอะมิโน และสารต้านอนุมูลอิสระประเภทฟลาโวนอยด์ที่เรียกว่าคาเทซินอย่างสารสารอีพิกัลโลคาเทชินกัลเลต (epigallocatechin gallate) หรือ EGCG ซึ่งมีส่วนช่วยต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคร้ายหลายชนิด รวมทั้งคาเทชินในใบชายังมีส่วนช่วยลดความอ้วนได้ โดยเฉพาะคาเทชินในชาเขียวที่มีงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่ามีฤทธิ์เพิ่มการเผาผลาญพลังงานและไขมันในร่างกาย แต่อย่างไรก็ตาม การบริโภคชาให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพสูงสุดนั้นควรต้องดื่มอย่างเหมาะสมด้วยนะคะ

2. กินชามากไป มีโทษอะไรบ้าง

          การดื่มชามากเกินไปอาจทำให้เกิดโรคนิ่วในไตได้ อย่างงานวิจัยในวารสารทางการแพทย์ New England Journal of Medicine ที่พบว่า การดื่มชาดำเย็นมาก ๆ อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอาการไตวายเฉียบพลัน เนื่องจากในชาดำมีสารออกซาเลทเป็นจำนวนมาก การดื่มชาดำเป็นประจำจะทำให้สารออกซาเลทตกค้างอยู่ในร่างกายและก่อให้เกิดนิ่วในไตได้ ยิ่งหากคุณมีประวัติว่าเคยเป็นนิ่วมาก่อนยิ่งต้องระวังให้ดี

          นอกจากนี้ยังมีรายงานที่พบว่า หนูทดลองที่ดื่มชาเขียวในปริมาณ 2,500 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ติดต่อกัน 5 วัน มีภาวะตับถูกทำลายลงเล็กน้อย และจะเกิดภาวะตับเป็นพิษเมื่อดื่มชาเขียวในขณะที่เป็นไข้ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การดื่มชาในระยะเวลาติดต่อกันนาน ๆ และบริโภคในปริมาณที่สูง อาจส่งผลให้ตับถูกทำลายได้

          ขณะที่ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เตือนมาว่า ผู้ที่ท้องอืดบ่อย ๆ เด็ก หญิงตั้งครรภ์ และคนที่เป็นโรคหัวใจ ไม่ควรดื่มชา เพราะจะยิ่งทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น รวมทั้งคนที่เป็นโรคไตก็ไม่ควรดื่ม

กินชาดีไหม







3. กินชาเย็น/ชาเขียวทุกวันเป็นอันตรายไหม

          อย่างที่ได้รู้กันไปว่าในใบชามีสารออกซาเลทจำนวนมาก ดังนั้นหากเราดื่มชาเขียวนมทุกวัน หรือดื่มชานมทุกวัน โอกาสที่สารออกซาเลทจะสะสมจนก่ออาการอุดตันในไต หรือทำให้เกิดโรคนิ่วในไตก็อาจเกิดขึ้นได้ อีกทั้ง ผศ. ดร.เรวดี จงสุวัฒน์ หัวหน้าภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ยังเตือนว่า การดื่มชานม กาแฟเย็น หรือชาเขียวทุกวันอาจก่อให้เกิดโรคอ้วนได้ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่นิยมดื่มชาเย็น ชาไข่มุกในปริมาณมาก บางคนดื่มกันวันละ 3 แก้ว ซึ่งนอกจากจะเสี่ยงต่อภาวะน้ำหนักเกินแล้ว ยังเป็นการสิ้นเปลืองเงินเกินจำเป็นอีกต่างหาก

4. กินชาเขียวแช่เย็นมีโทษไหม

          อาจารย์สง่า ดามาพงศ์ นักโภชนาการ ได้เคยให้ข้อมูลที่น่าสนใจไว้ว่า ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันว่าการดื่มชาเขียวเย็นจะทำให้เกิดโรคได้ ทว่าก็ยังไม่มีผลวิจัยใด ๆ ยืนยันว่าการดื่มชาเขียวจะสามารถยับยั้งการเกิดมะเร็งในคนได้เช่นกัน แม้ที่ยอดใบชาจะมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ป้องกันการเกิดมะเร็งได้จริงก็ตาม

          นอกจากนี้ นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ธรรมชาติบำบัด ก็พูดถึงเรื่องการดื่มชาเขียวไว้ว่า การกินชาเขียวให้ได้สารต้านอนุมูลอิสระจริง ๆ จะต้องชงชาเขียวเข้มข้นแบบญี่ปุ่น และต้องดื่มชาเขียวอย่างน้อยวันละ 20 แก้ว เป็นประจำทุกวัน จึงจะสามารถป้องกันมะเร็งได้ ซึ่งในทางปฏิบัติอาจทำได้ยาก แต่สำหรับการดื่มน้ำชาเขียวปัจจุบัน เป็นชาเขียวที่เจือจาง และยังปรุงรสแต่งกลิ่นด้วยน้ำตาล ซึ่งหากดื่มมาก ๆ ก็อาจทำให้เกิดโรคอ้วนได้ ดังนั้นจะดื่มร้อนหรือเย็นก็ไม่ต่างกัน

5. ดื่มชาแล้วใจสั่น อาการนี้อันตรายไหม




 ไม่ใช่แค่กาเฟที่มีคาเฟอีน เพราะฐานข้อมูลจากกรมวิชาการเกษตรสหรัฐอเมริกาเผยว่า ชาเขียวร้อนมีปริมาณคาเฟอีนอยู่ที่ 25 มิลลิกรัมต่อ 8 ออนซ์หรือเท่ากับ 236.6 มิลลิลิตร และชาดำร้อนมีคาเฟอีน 47 มิลลิกรัมต่อปริมาณชาดำ 8 ออนซ์ ในขณะที่ชาร้อนสำเร็จรูปจะมีปริมาณคาเฟอีนอยู่ที่ 26 มิลลิกรัมต่อ 8 ออนซ์ ซึ่งเผลอ ๆ ในใบชาอาจจะมีคาเฟอีนที่มากกว่ากาแฟอีกก็เป็นได้นะคะ

          ดังนั้นสำหรับบางคนที่ดื่มชาแล้วใจสั่น ก็อาจเป็นเพราะคาเฟอีนที่แฝงอยู่ในชานี่เอง ยิ่งกับคนที่มีภาวะเครียด อ่อนเพลีย หรืออยู่ในภาวะร่างกายขาดน้ำ ก็อาจโดนคาเฟอีนเล่นงานเอาได้ง่ายกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดอาการใจสั่น หรือเวียนศีรษะแปลก ๆ ซึ่งก็ไม่ถือว่าเป็นอาการที่ร้ายแรงอะไร เพียงแต่ทางที่ดีควรจะดื่มน้ำเปล่าตามไปให้มาก ๆ หรือจะงดดื่มชากาแฟไปก่อนก็ได้ ทว่าเมื่อไรที่มีอาการใจสั่นร่วมกับอาการหน้ามืด หมดสติ แน่นหน้าอก หรือหอบเหนื่อยกว่าปกติ แบบนี้ควรต้องรีบไปพบแพทย์เพราะอาจมีโรคหัวใจรุนแรงซ่อนอยู่

กินชาดีไหม
ภาพจาก unsplash

6. ดื่มชาแล้วนอนไม่หลับ ทำไงดี

          สำหรับคนที่มักจะมีอาการนอนไม่หลับ แล้วคิดว่าต้นเหตุคือชาที่ดื่มเข้าไป บอกเลยว่าคุณคิดถูกแล้วค่ะ เพราะอย่างที่บอกว่าในชาก็มีคาเฟอีนอยู่ไม่น้อยเลย ดังนั้นหากไม่อยากกินชาแล้วนอนไม่หลับ แนะนำให้หลีกเลี่ยงการดื่มชาในช่วงเย็น หรือจะงดดื่มชาไปก่อนสักระยะ เพื่อให้ร่างกายได้ปรับเวลานอนหลับก่อนก็ได้

7. กินชาเขียวตอนไหนดี ถึงจะได้ความเฮลธ์ตี้เต็มแม็กซ์

          การดื่มชาเพื่อสุขภาพควรต้องดื่มหลังรับประทานอาหารไปแล้ว 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้ชากระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ซึ่งจะช่วยย่อยอาหารจำพวกวิตามินเพื่อให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารไปใช้ได้ง่ายขึ้น ทว่าเพื่อผลผระโยชน์สูงสุดก็ควรดื่มชาเขียวหลังมื้ออาหารเช้าจะดีกว่านะคะ เพราะหากดื่มหลังมื้อเที่ยงหรือมื้อเย็น อาจทำให้นอนตาค้างเนื่องจากผลกระทบของคาเฟอีนได้

          อ้อ ! และขอฝากวิธีดื่มชาเขียวที่ถูกต้องเอาไว้อีกสักนิด นั่นก็คือควรดื่มชาเขียวชงร้อนด้วยตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้เราจำกัดปริมาณน้ำตาลได้ อีกทั้งการดื่มชาเขียวร้อนยังจะช่วยให้ประสิทธิภาพของชาเขียวไม่ถูกเจือจางไปกับน้ำแข็งอีกด้วยค่ะ แค่หากใครอยากดื่มชาเขียวเย็นก็ได้ เพียงแต่ว่าขอเป็นชาเขียวชงเองแล้วแช่เย็นไว้ และดื่มแบบไม่ใส่น้ำแข็งเป็นพอ นอกจากนี้หากจะชงชาเขียวให้สารต้านอนุมูลอิสระคงอยู่ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ก็แนะนำให้บีบมะนาวลงไประหว่างชงชาด้วยนะคะ

กินชาดีไหม

8. กินชาเขียวลดน้ำหนักต้องทำยังไง

        ในชาเขียวมีคาเทชินซึ่งมีฤทธิ์เพิ่มการเผาผลาญพลังงานและไขมันในร่างกาย ซึ่งก็ช่วยในการลดน้ำหนักได้ แต่หากอยากดื่มชาเขียวลดน้ำหนักอย่างจริง ๆ จัง ๆ แนะนำให้ทำตามวิธีด้านล่างนี้

          - ชาเขียว ช่วยลดน้ำหนักได้ ถ้าดื่มด้วยวิธีนี้ ...
     
          อย่างไรก็ตาม ยังมีชาอีกหลายชนิดที่ช่วยลดความอ้วนได้ ดังต่อไปนี้ค่ะ

          - 5 ชาชั้นดี ช่วยเบิร์นแคลอรี ลดความอ้วนได้ด้วย

9. กินชาเขียวลดสิวได้จริงไหม

          แม้ว่าชาและกาแฟจะเป็นเครื่องดื่มที่คนเป็นสิวควรเลี่ยงให้ไกล แต่ชาเขียวอุ่น ๆ เป็นข้อยกเว้นค่ะ ด้วยสรรพคุณของสารโพลีฟีนอลที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้เซลล์ผิวหนัง และสารในชาเขียวที่ช่วยขับสารพิษในร่างกาย สองแรงแข็งขันแบบนี้ สิวที่ผุดอยู่บนใบหน้าก็จะกระจายตัวหายไปในที่สุด


10. กินชาเขียวแล้วท้องผูก เกิดจากอะไร

          ประเด็นนี้อาจเกิดจากสารแทนนินที่อยู่ในชาเขียว ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ท้องผูก รวมทั้งยังยับยั้งการดูดซึมสารอาหารสำคัญหลายชนิด เช่น โปรตีน ธาตุเหล็ก และโฟลิก ดังนั้นเพื่อสุขภาพระบบขับถ่ายที่ดี แนะนำให้ดื่มชาเขียวในปริมาณที่พอเหมาะ (ไม่เกิน 5 แก้วต่อวัน) พร้อมทั้งรับประทานผักผลไม้และน้ำเปล่ามาก ๆ ด้วย

          ยังคงยืนยันคำเดิมว่าอาหารและเครื่องดื่มแทบทุกชนิดมีทั้งคุณและโทษด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งเพื่อสุขพลานามัยที่ดีของตัวเราเองก็ควรเดินทางสายกลาง จิบชาอย่างพอเหมาะและดื่มน้ำเปล่าให้มากกว่า โดยเฉพาะใครที่ไม่อยากอ้วน แนะนำให้จำกัดการดื่มชาเย็นหรือดื่มชาเขียวนมด้วยนะคะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สถาบันชา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
เฟซบุ๊ก สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ


http://health.kapook.com/view153861.html


Read More...

แบ่งปันสูตร "ซอสเย็นตาโฟ" สูตรนี้ อร่อย ถูกใจ และถูกปาก จะทำขายก็ได้นะ อร่อยๆเริศ









ส่วนผสม

ซอสมะเขือเทศ  200 กรัม  
ซอสพริก [พริกเหลือง]  100 กรัม
ซอสพริก [พริกแดง]  100 กรัม
เต้าหู้ยี่แบบก้อน  มากน้อยตามชอบ  สูตรนี้ใส่ไป 6 ก้อน
น้ำมันหอย  100 กรัม
พริกขี้หนูแดง บดหยาบๆ  20 เม็ด โดยประมาณ



http://www.gfghj com/news6348.html


Read More...